ภาพของแล็ปท็อปบนโต๊ะริมหาดทรายขาว คือความฝันของใครหลายคนที่เป็น Digital Nomad ที่สามารถทำงานจากทุกที่ทั่วโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำงานจากที่ไหนก็ได้ อาจไม่ได้สวยงามเหมือนที่ได้เห็นจากโซเชียลมีเดียเสมอไป
เพราะเบื้องหลังอิสระในการเดินทาง คือความท้าทายที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็น ความเหงา จากการที่ต้องอยู่คนเดียวในต่างแดน ตารางงานที่ไม่แน่นอน จนเส้นแบ่งระหว่าง “งาน” กับ “การพักผ่อน” เลือนหายไป และสุดท้ายคือ ภาวะหมดไฟ (Burnout) ที่มาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว
ถ้าคุณกำลังรู้สึกว่าไลฟ์สไตล์ในฝันเริ่มทำให้เหนื่อยล้า… คำตอบอาจไม่ใช่การหยุดเดินทาง แต่คือการหันมาให้ความสำคัญกับ “Digital Nomad Wellness” อย่างจริงจัง I Plan Wellness มีเคล็ดลับการดูแลตัวเองแบบองค์รวมที่ทำได้จริง เพื่อช่วยจัดสมดุลชีวิตให้เหล่า Digital Nomad ให้กลับมาลงตัว และมีความสุขในการทำงานอีกครั้ง
ทำไม Wellness ถึงสำคัญกับไลฟ์สไตล์ Digital Nomad?
ความอิสระคือดาบสองคม สำหรับพนักงานออฟฟิศชีวิตจะมีโครงสร้างที่ชัดเจน เวลาเข้า-ออกงาน เพื่อนร่วมงาน และโต๊ะทำงานประจำ แต่สำหรับ Digital Nomad จะเป็นคนสร้างโครงสร้างนั้น ขึ้นมาเองทั้งหมด ซึ่งความไร้ขอบเขตนี่แหละคือที่มาของปัญหา
- เส้นแบ่งที่หายไป เมื่อทำงานในที่ที่พักผ่อน (เช่น ในห้องพัก Airbnb) สมองจะสับสนและไม่สามารถตัดเข้าสู่โหมดพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการทำงานเกินเวลาได้ง่าย
- ความโดดเดี่ยวและความเหงา การเดินทางตลอดเวลา ทำให้การสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องท้าทาย การไม่มีเพื่อนร่วมงานให้พูดคุยปรึกษา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต Digital Nomad ได้โดยตรง
- ความไม่แน่นอน การเปลี่ยนที่อยู่, เขตเวลา (Time Zone), และวัฒนธรรมอยู่เสมอ ต้องใช้พลังงานในการปรับตัวสูงกว่าที่คิด ซึ่งอาจนำไปสู่ความเครียดสะสม
Wellness จึงไม่ใช่แค่การไปสปาหรือกินอาหารคลีน แต่คือ สมอเรือ ที่ช่วยยึดชีวิตให้มั่นคงท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง คือการสร้างกรอบการดูแลตัวเองขึ้นมา เพื่อให้สามารถท่องโลกกว้างได้อย่างแข็งแรงทั้งกายและใจ
7 เคล็ดลับจัดสมดุลชีวิต (Work-Life Balance) ฉบับโนแมด
การสร้าง Digital Nomad Wellness ที่ดี เริ่มต้นได้จากนิสัยเล็ก ๆ ในแต่ละวัน นี่คือ 7 เคล็ดลับที่จะช่วยให้เริ่มต้นได้ทันที
1. สร้าง Routine ที่ยืดหยุ่นแต่มีวินัย
การสร้าง Routine สำหรับ Digital Nomad ไม่ได้หมายถึงการตอกบัตร 9 โมงเช้าทุกวัน แต่คือการสร้าง “จุดยึด” (Anchor Points) ประจำวันขึ้นมา เพื่อให้สมองและร่างกายมีแบบแผนที่คุ้นเคย
- กิจวัตรยามเช้า เริ่มต้นวันเหมือนเดิมทุกเช้า ไม่ว่าจะตื่นที่ไหน เช่น ดื่มน้ำ 1 แก้ว, นั่งสมาธิ 10 นาที, ยืดเส้นยืดสาย หรือเขียนบันทึก สิ่งนี้จะช่วยปรับสมอง ให้พร้อมสำหรับวันใหม่
- กำหนดเวลาทำงาน กำหนด “Work Blocks” ที่ชัดเจน เช่น ทำงาน 3 ชั่วโมง พัก 1 ชั่วโมง และที่สำคัญคือต้องมีเวลาเลิกงานที่แน่นอน เพื่อบังคับตัวเองให้ปิดคอมพิวเตอร์และไปใช้ชีวิต
กิจวัตรก่อนนอน: สร้างกิจวัตรปิดท้ายวัน เช่น อ่านหนังสือ (ที่ไม่ใช่จากหน้าจอ), ฟังเพลงเบาๆ, และงดเล่นโซเชียลมีเดียก่อนนอน 1 ชั่วโมง
2. จัดตารางออกกำลังกายให้เป็นนิสัย
วิธีออกกำลังกายเมื่อต้องเดินทาง อาจดูเป็นเรื่องยากเมื่อไม่มีฟิตเนสประจำ แต่สุขภาพกายคือรากฐานของทุกสิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์หรูหราเลย
- Bodyweight is King ท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อย่าง วิดพื้น, สควอท, แพลงก์ สามารถทำได้ทุกที่ในห้องพัก
- พกอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ยางยืดออกกำลังกาย (Resistance Bands) หรือเชือกกระโดด มีน้ำหนักเบาและไม่เปลืองพื้นที่ในกระเป๋า
- ใช้เมืองให้เป็นประโยชน์ ออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งในสวนสาธารณะ, เดินสำรวจเมือง, หรือหาคลาสโยคะ/สตูดิโอพิลาทิสในท้องถิ่น ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการพบปะผู้คนใหม่ ๆ ด้วย
3. ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ไม่ใช่แค่กินเพื่ออยู่
การเดินทางทำให้มีโอกาสลิ้มลองอาหารใหม่ ๆ แต่ก็ทำให้การกินเพื่อสุขภาพทำได้ยากขึ้นเช่นกัน การวางแผนเรื่องอาหารสุขภาพสำหรับ Digital Nomad จึงสำคัญมาก
- กฎ 80/20 ไม่ต้องเคร่งครัดจนเกินไป ตั้งเป้ากินอาหารดีมีประโยชน์ 80% และปล่อยให้ตัวเองได้อร่อยกับอาหารท้องถิ่น 20%
- เลือกที่พักที่มีครัว การเลือกจองที่พักอย่าง Airbnb ที่มีห้องครัว จะช่วยให้ควบคุมอาหารและประหยัดเงินได้มาก
- เตรียมของว่างสุขภาพ พกถั่ว, ผลไม้แห้ง, หรือโปรตีนบาร์ติดกระเป๋าไว้เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้หิวจนต้องคว้าขนมขบเคี้ยวที่ไม่มีประโยชน์
4. ดูแลสุขภาพจิตและจัดการความเหงา
การดูแลจิตใจสำคัญไม่แพ้ร่างกาย การยอมรับว่าความเหงาเป็นเรื่องปกติ คือขั้นตอนแรกในการรับมือ
- จัดตารางเวลาในการติดต่อกับผู้คน ตั้งเวลาวิดีโอคอลกับครอบครัวและเพื่อนที่บ้านให้เป็นกิจวัตร เหมือนที่ตั้งเวลางาน
- เขียนบันทึกประจำวันและทำสมาธิ การเขียนระบายความรู้สึกช่วยจัดระเบียบความคิดได้ดี ส่วนแอปพลิเคชันอย่าง Calm หรือ Headspace ก็เป็นเครื่องมือช่วยฝึกสมาธิที่ยอดเยี่ยม
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ปัจจุบันมีบริการให้คำปรึกษา ด้านสุขภาพจิตออนไลน์มากมาย อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ เมื่อรู้สึกว่าจัดการด้วยตัวเองไม่ไหว
5. หา Community และเชื่อมต่อกับผู้คน
วิธีที่ดีที่สุดในการ จัดการความเหงาเมื่อทำงานทางไกล คือการพาตัวเองออกไปเจอผู้คน ที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายกัน
- Co-working Space ลองไปนั่งทำงานที่ Co-working Space แทนการนั่งในห้องคนเดียว ที่นี่เป็นศูนย์รวมของเหล่าโนแมดและฟรีแลนซ์ เช่น หากคุณเป็น Digital Nomad เชียงใหม่ คุณจะพบว่ามี Co-working Space ดี ๆ มากมายที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของคอมมูนิตี้
- เข้าร่วมอีเวนต์ ใช้แอปฯ Meetup หรือดูกลุ่ม Facebook เพื่อหากิจกรรมที่น่าสนใจ ในเมืองที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นคลาสเต้นรำ, กลุ่มเดินป่า, หรือเวิร์กช็อปต่าง ๆ
6. ทำ Digital Detox อย่างสม่ำเสมอ
ในฐานะโนแมด ที่ต้องออนไลน์แทบจะตลอดเวลา เพื่อทำงานและติดต่อสื่อสาร การทำ “Digital Detox” หรือการพักจากหน้าจอ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง
- กำหนดเขตปลอดเทคโนโลยี กำหนดช่วงเวลา หรือสถานที่ที่ห้ามใช้มือถือ เช่น บนโต๊ะอาหาร หรือ 1 ชั่วโมงก่อนนอน
- วันหยุดแบบ Offline ลองกำหนด 1 วันในสัปดาห์ ที่จะออกไปเที่ยวหรือทำกิจกรรม โดยไม่หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปหรือเช็กโซเชียลมีเดีย
7. เลือกที่พักและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพ
สภาพแวดล้อมมีผลต่ออารมณ์และประสิทธิภาพการทำงานอย่างมหาศาล
- มองหาแสงธรรมชาติ เลือกห้องพักที่มีหน้าต่างบานใหญ่และแสงแดดส่องถึง
- พื้นที่ทำงานที่เหมาะสม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่พัก มีโต๊ะและเก้าอี้ ที่เหมาะกับการนั่งทำงานนาน ๆ ไม่ใช่แค่เตียงนุ่ม ๆ
- ใกล้ชิดธรรมชาติ หากเป็นไปได้ เลือกที่พักที่ใกล้สวนสาธารณะ, ทะเล, หรือพื้นที่สีเขียว เพื่อให้ได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ได้ง่าย ๆ
Digital Nomad Wellness ไม่ใช่เป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง แต่คือกระบวนการ ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง คือการลงทุนกับตัวเอง ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อให้การเดินทางตามความฝัน เป็นการเดินทางที่ยั่งยืนและเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง