รู้จัก Nature Therapy บำบัดความเครียด เพิ่มพลังด้วยธรรมชาติ

เครียดใช่ไหม? มารู้จัก Nature Therapy ศาสตร์การบำบัดความเครียดด้วยธรรมชาติ ค้นพบวิธีฮีลใจ เพิ่มพลังชีวิต และดูแลสุขภาพจิตให้ดีขึ้น

เคยรู้สึกไหมว่าแบตเตอรี่ชีวิตใกล้จะหมด? ท่ามกลางตึกสูง แสงไฟนีออน และเสียงแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนที่ไม่เคยหยุดพัก หลายครั้งที่เราโหยหาความสงบ อยากหลีกหนีความวุ่นวาย เพื่อไปชาร์จพลังใจ แต่จะดีแค่ไหนถ้าการ “ฮีลใจ” นั้นทำได้ง่ายกว่าที่คิด แค่พาตัวเองออกไปสัมผัสกับ “ธรรมชาติ” 

ในยุคที่ชีวิตเร่งรีบและเต็มไปด้วยความกดดัน Nature Therapy หรือ ธรรมชาติบำบัด ได้กลายเป็นทางเลือกที่ทรงพลัง ในการบำบัดความเครียดและฟื้นฟูจิตใจ I Plan Wellness ไปทำความรู้จักกับการบำบัดสุดเรียบง่าย แต่ให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง พร้อมวิธีที่สามารถนำไปปรับใช้ เพื่อคลายเครียดและเพิ่มพลังชีวิตได้ทันที 

Nature Therapy คืออะไร? 

Nature Therapy หรือที่อาจเรียกว่า Ecotherapy ไม่ใช่แค่การไปเที่ยวพักผ่อนตามป่าเขาหรือทะเลทั่วไป แต่คือ การใช้เวลาอย่างมีสติอยู่กับธรรมชาติ เพื่อวัตถุประสงค์ในการเยียวยา ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยหัวใจสำคัญคือ การเปิดรับและเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหมด 

หนึ่งในรูปแบบของ Nature Therapy ที่โด่งดังที่สุดคือ “ชินรินโยคุ” (Shinrin-yoku) ซึ่งแปลตรงตัวว่า “การอาบป่า” (Forest Bathing) ศาสตร์นี้ถือกำเนิดขึ้นในญี่ปุ่นช่วงปี 1980 ไม่ใช่การเดินป่าแบบออกกำลังกายเพื่อพิชิตยอดเขา แต่เป็นการเดินอย่างช้า ๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศของผืนป่า ปล่อยให้ตัวเองได้ “อาบ” แสงแดดที่ส่องผ่านร่มไม้ กลิ่นดิน กลิ่นใบไม้ และเสียงของธรรมชาติรอบตัว คือการบำบัดที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เป็นวิธีลดความเครียด ที่ได้รับการยอมรับ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบสาธารณสุขในญี่ปุ่น 

วิทยาศาสตร์เบื้องหลัง ธรรมชาติช่วยลดความเครียดได้อย่างไร? 

หลายคนอาจสงสัยว่าแค่การเดินในป่า จะช่วยบำบัดความเครียดได้จริงหรือ? คำตอบคือ “จริง” และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน 

  • สารฟีทอนไซด์ (Phytoncide) เมื่อเราเดินเข้าไปในป่า เราจะหายใจเอาสารที่ชื่อว่า “ฟีทอนไซด์” เข้าไป ซึ่งเป็นน้ำมันหอมระเหย ที่ต้นไม้ปล่อยออกมา เพื่อป้องกันตัวเองจากแมลงและเชื้อโรค งานวิจัยจากญี่ปุ่นพบว่าสารนี้ มีคุณสมบัติสุดมหัศจรรย์ ในการกระตุ้นการทำงาน ของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK Cell (Natural Killer Cell) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติและเชื้อโรคได้  
  • ลดฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) การใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยลดระดับ “คอร์ติซอล” หรือฮอร์โมนแห่งความเครียด ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อคอร์ติซอลลดลง ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ ก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลายมากขึ้น 
  • กระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ธรรมชาติช่วยกระตุ้นการทำงาน ของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมด “พักและย่อย” (Rest and Digest) ตรงข้ามกับโหมด “สู้หรือหนี” (Fight or Flight) ที่ถูกกระตุ้นเมื่อเราเจอความเครียด ทำให้ร่างกายและจิตใจได้พักฟื้นอย่างแท้จริง 

5 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการทำธรรมชาติบำบัดด้วยตัวเอง 

ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกลถึงป่าลึกเพื่อทำ Nature Therapy แค่สวนสาธารณะใกล้บ้านก็เพียงพอแล้ว ลองทำตาม 5 ขั้นตอนง่าย ๆ นี้ดู 

1. ปิดการเชื่อมต่อ (Digital Detox) 

ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดคือ วางมือถือลง ปิดเสียงแจ้งเตือน หรือเก็บไว้ในกระเป๋าไปเลย เป้าหมายของเราคือการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ไม่ใช่โลกออนไลน์ การทำ Digital Detox แม้เพียงชั่วคราว จะช่วยให้สมองได้พักและเปิดรับสิ่งรอบตัวได้อย่างเต็มที่ 

2. ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 (การเจริญสติกับธรรมชาติ) 

นี่คือหัวใจของการอาบป่า ลองใช้ประสาทสัมผัสสำรวจโลกรอบตัวอย่างช้า ๆ 

  • การมองเห็น สังเกตสีเขียวหลากหลายเฉดของใบไม้ รูปทรงของกิ่งไม้ แสงแดดที่ลอดลงมาเป็นลำ 
  • การได้ยิน หลับตาแล้วฟังเสียงลมพัด เสียงนกร้อง เสียงใบไม้ไหว 
  • การได้กลิ่น สูดหายใจลึก ๆ รับกลิ่นดินหลังฝนตก กลิ่นหญ้า หรือกลิ่นดอกไม้ 
  • การสัมผัส ลองใช้มือสัมผัสเปลือกไม้ที่หยาบหรือเรียบ ความเย็นของใบไม้ หรือสัมผัสไอเย็นจากลำธาร 
  • การรับรส (ข้อนี้อาจทำยากหน่อย) แต่หมายถึงการดื่มด่ำกับอากาศที่บริสุทธิ์ หรือถ้ามีผลไม้ป่าที่ปลอดภัยก็ลองชิมดูได้ 

3. เดินให้ช้าลง 

ลืมการเดินเร็ว ๆ แบบที่เคยทำไปได้เลย การทำธรรมชาติบำบัด คือการเดินอย่างไร้จุดหมาย เดินให้ช้าลงกว่าปกติมาก ๆ หยุดมองสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน เช่น มดที่กำลังเดินแถว หรือเห็ดที่ขึ้นอยู่ตามขอนไม้ 

4. หายใจลึก ๆ รับอากาศบริสุทธิ์ 

หาจุดที่สงบ นั่งลงบนขอนไม้หรือพื้นหญ้า แล้วฝึกหายใจเข้าลึก ๆ ทางจมูก ให้ท้องป่อง แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ ทางปาก การทำแบบนี้ช่วยส่งออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง และทำให้รู้สึกคลายเครียดได้ทันที 

5. ไม่ต้องตั้งเป้าหมาย แค่ปล่อยใจไป 

เป้าหมายของการทำ Nature Therapy คือ การไม่มีเป้าหมาย ไม่ต้องกำหนดว่าต้องเดินให้ครบกี่กิโลเมตร หรือต้องใช้เวลานานแค่ไหน แค่ปล่อยให้ร่างกายและสัญชาตญาณนำทาง ปล่อยให้ตัวเองได้อยู่กับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง 

ประโยชน์ของ Nature Therapy ต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย 

  • ลดความเครียดและความวิตกกังวล ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุด คือการช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย 
  • ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น ช่วยลดอาการซึมเศร้าและเพิ่มความรู้สึกเชิงบวก 
  • เพิ่มสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ การพักสมองจากสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ช่วยให้ความคิดปลอดโปร่งและเกิดไอเดียใหม่ ๆ 
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จากผลของสารฟีทอนไซด์ 
  • ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น เมื่อความเครียดลดลง คุณภาพการนอนก็จะดีขึ้นตามไปด้วย 
  • ให้ธรรมชาติเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการเยียวยาจิตใจ 

Nature Therapy ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ทุกปัญหาในชีวิต แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง และเข้าถึงง่ายที่สุดชิ้นหนึ่งที่เรามี การพาตัวเองกลับไปสู่จุดเริ่มต้น กลับไปหาธรรมชาติ คือการอนุญาตให้ตัวเองได้หยุดพัก ชาร์จพลัง และเชื่อมต่อกับแก่นแท้ของชีวิตอีกครั้ง ครั้งต่อไปที่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือเครียด ลองวางทุกอย่างลง แล้วออกไปให้ธรรมชาติบำบัดดู คุณอาจจะพบว่าคำตอบและการเยียวยาที่ดีที่สุด อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด 

Nora
Nora

Content Creator สายสุขภาพ ชอบค้นหาวิธีดูแลตัวเองแบบง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะ Wellness ไม่ใช่เรื่องไกลตัว จึงอยากแชร์เคล็ดลับดี ๆ ที่ทุกคนสามารถทำตามได้

Articles: 10